7 ข้อดีที่ชีวิตนี้ ต้อง “โยคะ”

by admin

ฝึก “โยคะ” ได้อะไรมากกว่าที่คิด
     การออกกำลังกายในปัจจุบันนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ โยคะ เต้นซุมบ้า ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีประโยชน์แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการประโยชน์ในด้านไหน เพราะบางคนก็อาจจะอยากเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง หรือบางคนก็แค่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ในขณะที่อีกหลายคนชื่นชอบการออกกำลังกาย เพราะเป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ยิ่งเวลาที่ออกกำลังกายเสร็จแล้วได้อาบน้ำ ก็จะยิ่งรู้สึกสดชื่นขึ้นเป็นพิเศษเลยทีเดียว 
     อย่างพี่หมอเองก็เริ่มหันมาออกกำลังกายมากขึ้น โดยเฉพาะ “โยคะ” เพราะนอกจากจะช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามiร่างกายแล้ว โยคะยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย ที่สำคัญ ยังช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้น เพราะโยคะคือการรวมของ 3 สิ่งเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ การเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ การประสานลมหายใจเข้า-ออกกับการเคลื่อนไหว และการมีจิตสงบนิ่งในขณะที่เคลื่อนไหว 
     เนื่องจากวันที่ 21 มิ.ย.ของทุกปีเป็นวันโยคะสากลโลก หรือ International day of Yoga พี่หมอก็อยากจะเชิญชวนทุกคนให้ลองมาฝึกโยคะกัน  เผื่อจะเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจในการออกกำลังกาย  เพราะการออกกำลังกายที่ดูเหมือนไม่ต้องใช้แรงมากแบบนี้มีข้อดีที่น่าสนใจและแตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปหลายอย่างเลยครับ 

โยคะ
     · เน้นที่ความนิ่ง และใช้แรงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ 
     · เป็นการออกกำลังกายแบบรับ (Passive) โดยในขณะที่ฝึกกล้ามเนื้อจะค่อยๆผ่อนคลาย
     · ส่งเสริมการทำงานของอวัยวะภายในและกล้ามเนื้อแขน ขา รวมถึงการประสานงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
     · ใช้ความรู้สึกภายในเป็นตัวนำ และให้ความสำคัญกับจิตใจเป็นหลัก
     · ช่วยรักษาสมดุลของร่างกายแบบเฉพาะบุคคล
     · ลดการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 5

การออกกำลังกายทั่วไป
     · เน้นการเคลื่อนไหวและการใช้แรง
     · เป็นการออกกำลังกายที่ต้องทำแบบซ้ำๆ (Active) โดยที่กล้ามเนื้อจะต้องมีการตึงและเกร็งอยู่ตลอดเวลา
     · เน้นการพัฒนากล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย 
     · ใช้การรับรู้ต่อสภาวะภายนอกเป็นตัวนำ และให้ความสำคัญกับการกระทำ 
     · ความเชี่ยวชาญหรือชำนาญในการเล่นกีฬาประเภทนั้นๆ จะช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้
     · ทำให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ตื่นตัว

ข้อดีของการฝึกโยคะ
     1.  การฝึกโยคะช่วยให้กล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Muscle) มีความแข็งแรงมากขึ้นและช่วยบรรเทาอาการปวดตึงของบริเวณคอ บ่า ไหล่ เนื่องจากหลายคนมักจะมีอาการปวดหลัง เพราะนั่งผิดท่าในขณะที่ทำงานหรือขับรถ ซึ่งการฝึกโยคะบ่อยๆจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ 
     2.   ช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะท่าต่างๆในขณะที่ฝึกนั้น จะช่วยให้กล้ามเนื้อของเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหลัง ไหล่ สะโพกและต้นขา 
     3.   ช่วยเพิ่มความมั่นใจในท่าทางการเดินและบุคลิกภาพ เพราะท่าโยคะหลายๆท่าทำให้เราต้องฝึกการถ่ายเทน้ำหนักของร่างกายด้วยวิธีใหม่ๆ นอกจากนี้ การทำท่าต่างๆพร้อมกับการควบคุมลมหายใจ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและปรับสมดุลในร่างกาย
     4.   การฝึกโยคะอย่างน้อย 1 ชั่วโมงเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้สมองหลั่งสาร ‘กาบา’ (GABA : Gamma-Aminobutyric acid -) ออกมาได้เพิ่มขึ้นถึง 27%  กาบาเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยให้สมองผ่อนคลาย ลดอาการกระวนกระวายใจ และช่วยให้เรานอนหลับง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มักจะหลั่งออกมาเมื่อเราเกิดความเครียด
     5.   ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศในร่างกาย และช่วยให้เราดูสดใส กระปรี้กระเปร่า เนื่องจากร่างกายผลิตโกรท ฮอร์โมนและฮอร์โมนดีเอชอีเอออกมา ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้จะช่วยให้ผิวพรรณของเราดูอ่อนเยาว์และร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉงตลอดเวลา 

Woman practicing yoga on mat at home

หลักสำคัญของการฝึกโยคะ 
     · ต้องหายใจแบบโยคะให้ถูกต้อง โดยหายใจเข้า – ท้องพอง และหายใจออก – ท้องแฟ่บ เพื่อให้สอดคล้องกับท่าฝึกแต่ละท่า ซึ่งในขณะที่ฝึกก็ต้องสูดอากาศเข้าไปให้พอดีเพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากเพียงพอ และปล่อยลมหายใจออกให้สุด เพื่อถ่ายเทของเสียออกจากร่างกาย และลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
     · ฝึกท่าแต่ละท่าอย่างช้าๆ เป็นจังหวะ และควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ 
     · ควรตั้งสมาธิให้เป็นหนึ่งเดียวกับการฝึก ซึ่งจะทำให้จิตใจสงบและเข้าถึงสมาธิได้ดี และควรฝึกให้เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
     · หลังการฝึกในแต่ละท่า ควรหยุดพักและผ่อนคลาย โดยให้หายใจเข้า – ออกช้าๆ ลึกๆ ประมาณ 5-7 ครั้ง เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และปรับร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติก่อนที่จะทำการฝึกท่าต่อไป

ข้อควรระวังในการฝึกโยคะ 

     · สถานที่ฝึก ควรเป็นที่โล่งและไม่มีเสียงรบกวน 
     · ควรใส่เสื้อผ้าที่สบายๆ ไม่หลวมหรือคับจนเกินไป 
     · ไม่ควรฝึกโยคะหลังรับประทานอาหารทันที ควรเว้นระยะอย่างน้อย 1-3 ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการจุก และหลังจากที่ฝึก ควรพักอีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะรับประทานอาหาร
     · สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มฝึกโยคะใหม่ๆ พี่หมอแนะนำให้ฝึกท่าให้ถูกต้องก่อน และไม่ควรกังวลกับการหายใจจนเกินไป เพราะการหายใจแบบโยคะจะไม่เหมือนกับการหายใจแบบปกติ และควรเริ่มจากการฝึกท่าง่ายๆ ที่สำคัญ ห้ามฝืนร่างกายตัวเองโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ เพราะหัวใจสำคัญของการฝึกโยคะคือ การทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายที่สุด
     · อย่ามองแต่ผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น รูปร่างที่ดี ท่าที่สวยงาม การทรงตัวที่สมบูรณ์แบบเหมือนครูฝึก แต่ให้มองที่ความก้าวหน้าในแต่ละครั้ง จะได้ไม่รู้สึกกดดันตัวเองจนเกินไป
     · ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคความดัน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน สุภาพสตรีมีครรภ์ และผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์หรือครูฝึกก่อนที่จะฝึกโยคะ เพราะบางท่าก็อาจเป็นอันตรายกับโรคบางชนิดได้ เช่น ผู้ที่มีปัญหาที่คอก็อาจไม่สามารถทำท่าที่ต้องบิดคอมากๆได้ ส่วนผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและหรือต่ำก็ไม่ควรทำท่าที่ต้องก้มศีรษะมากเกินไป 

     ไม่น่าเชื่อเลยใช่มั้ยครับว่าการฝึกโยคะจะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ ซึ่งถ้าสนใจก็สามารถเปิดวีดีโอในยูทูปดูแล้วลองทำตามก่อนก็ได้ ยังไม่ต้องไปเสียเงินเข้าคลาสที่ไหนให้สิ้นเปลือง   และการออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ดีต่อสุขภาพและตัวเราเองทั้งนั้น ขอเพียงให้เราลงมือทำ  

     แล้วกลับมาพบกับพี่หมอได้ใหม่ในสัปดาห์หน้านะครับ นมัสเต 🙏🙏🙏

เรื่องที่คุณอาจจะชอบ

Willbemilk.com ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2023 ที่ ประเทศไทย แดนศิวิไลซ์ โดยเริ่มต้นขึ้นจากการเป็นองค์กรขนาดเล็ก ที่ต้องการแสวงหาผลกำไร Willbemilk.com ต้องการจะเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ ตัวเลือกสำหรับนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม และ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจโรงแรม ที่พัก เว็บไซต์ของเรามี พันธกิจคือ ส่งเสริมอุตสาหกรรมโรงแรม พัฒนายกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว เพื่อนักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการได้เชื่อมโยงถึงกัน ผ่านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้มากขึ้น

Contact us: milklollipop@gmail.com

@2030 – PenciDesign. All Right Reserved. Designed and Developed by PenciDesign