ฝึก “โยคะ” ได้อะไรมากกว่าที่คิด
การออกกำลังกายในปัจจุบันนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ โยคะ เต้นซุมบ้า ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีประโยชน์แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการประโยชน์ในด้านไหน เพราะบางคนก็อาจจะอยากเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง หรือบางคนก็แค่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ในขณะที่อีกหลายคนชื่นชอบการออกกำลังกาย เพราะเป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ยิ่งเวลาที่ออกกำลังกายเสร็จแล้วได้อาบน้ำ ก็จะยิ่งรู้สึกสดชื่นขึ้นเป็นพิเศษเลยทีเดียว
อย่างพี่หมอเองก็เริ่มหันมาออกกำลังกายมากขึ้น โดยเฉพาะ “โยคะ” เพราะนอกจากจะช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามiร่างกายแล้ว โยคะยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย ที่สำคัญ ยังช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้น เพราะโยคะคือการรวมของ 3 สิ่งเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ การเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ การประสานลมหายใจเข้า-ออกกับการเคลื่อนไหว และการมีจิตสงบนิ่งในขณะที่เคลื่อนไหว
เนื่องจากวันที่ 21 มิ.ย.ของทุกปีเป็นวันโยคะสากลโลก หรือ International day of Yoga พี่หมอก็อยากจะเชิญชวนทุกคนให้ลองมาฝึกโยคะกัน เผื่อจะเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจในการออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายที่ดูเหมือนไม่ต้องใช้แรงมากแบบนี้มีข้อดีที่น่าสนใจและแตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปหลายอย่างเลยครับ
โยคะ
· เน้นที่ความนิ่ง และใช้แรงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
· เป็นการออกกำลังกายแบบรับ (Passive) โดยในขณะที่ฝึกกล้ามเนื้อจะค่อยๆผ่อนคลาย
· ส่งเสริมการทำงานของอวัยวะภายในและกล้ามเนื้อแขน ขา รวมถึงการประสานงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
· ใช้ความรู้สึกภายในเป็นตัวนำ และให้ความสำคัญกับจิตใจเป็นหลัก
· ช่วยรักษาสมดุลของร่างกายแบบเฉพาะบุคคล
· ลดการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 5
การออกกำลังกายทั่วไป
· เน้นการเคลื่อนไหวและการใช้แรง
· เป็นการออกกำลังกายที่ต้องทำแบบซ้ำๆ (Active) โดยที่กล้ามเนื้อจะต้องมีการตึงและเกร็งอยู่ตลอดเวลา
· เน้นการพัฒนากล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย
· ใช้การรับรู้ต่อสภาวะภายนอกเป็นตัวนำ และให้ความสำคัญกับการกระทำ
· ความเชี่ยวชาญหรือชำนาญในการเล่นกีฬาประเภทนั้นๆ จะช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้
· ทำให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ตื่นตัว
ข้อดีของการฝึกโยคะ
1. การฝึกโยคะช่วยให้กล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Muscle) มีความแข็งแรงมากขึ้นและช่วยบรรเทาอาการปวดตึงของบริเวณคอ บ่า ไหล่ เนื่องจากหลายคนมักจะมีอาการปวดหลัง เพราะนั่งผิดท่าในขณะที่ทำงานหรือขับรถ ซึ่งการฝึกโยคะบ่อยๆจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
2. ช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะท่าต่างๆในขณะที่ฝึกนั้น จะช่วยให้กล้ามเนื้อของเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหลัง ไหล่ สะโพกและต้นขา
3. ช่วยเพิ่มความมั่นใจในท่าทางการเดินและบุคลิกภาพ เพราะท่าโยคะหลายๆท่าทำให้เราต้องฝึกการถ่ายเทน้ำหนักของร่างกายด้วยวิธีใหม่ๆ นอกจากนี้ การทำท่าต่างๆพร้อมกับการควบคุมลมหายใจ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและปรับสมดุลในร่างกาย
4. การฝึกโยคะอย่างน้อย 1 ชั่วโมงเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้สมองหลั่งสาร ‘กาบา’ (GABA : Gamma-Aminobutyric acid -) ออกมาได้เพิ่มขึ้นถึง 27% กาบาเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยให้สมองผ่อนคลาย ลดอาการกระวนกระวายใจ และช่วยให้เรานอนหลับง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มักจะหลั่งออกมาเมื่อเราเกิดความเครียด
5. ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศในร่างกาย และช่วยให้เราดูสดใส กระปรี้กระเปร่า เนื่องจากร่างกายผลิตโกรท ฮอร์โมนและฮอร์โมนดีเอชอีเอออกมา ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้จะช่วยให้ผิวพรรณของเราดูอ่อนเยาว์และร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉงตลอดเวลา
หลักสำคัญของการฝึกโยคะ
· ต้องหายใจแบบโยคะให้ถูกต้อง โดยหายใจเข้า – ท้องพอง และหายใจออก – ท้องแฟ่บ เพื่อให้สอดคล้องกับท่าฝึกแต่ละท่า ซึ่งในขณะที่ฝึกก็ต้องสูดอากาศเข้าไปให้พอดีเพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากเพียงพอ และปล่อยลมหายใจออกให้สุด เพื่อถ่ายเทของเสียออกจากร่างกาย และลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
· ฝึกท่าแต่ละท่าอย่างช้าๆ เป็นจังหวะ และควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ
· ควรตั้งสมาธิให้เป็นหนึ่งเดียวกับการฝึก ซึ่งจะทำให้จิตใจสงบและเข้าถึงสมาธิได้ดี และควรฝึกให้เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
· หลังการฝึกในแต่ละท่า ควรหยุดพักและผ่อนคลาย โดยให้หายใจเข้า – ออกช้าๆ ลึกๆ ประมาณ 5-7 ครั้ง เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และปรับร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติก่อนที่จะทำการฝึกท่าต่อไป
ข้อควรระวังในการฝึกโยคะ
· สถานที่ฝึก ควรเป็นที่โล่งและไม่มีเสียงรบกวน
· ควรใส่เสื้อผ้าที่สบายๆ ไม่หลวมหรือคับจนเกินไป
· ไม่ควรฝึกโยคะหลังรับประทานอาหารทันที ควรเว้นระยะอย่างน้อย 1-3 ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการจุก และหลังจากที่ฝึก ควรพักอีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะรับประทานอาหาร
· สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มฝึกโยคะใหม่ๆ พี่หมอแนะนำให้ฝึกท่าให้ถูกต้องก่อน และไม่ควรกังวลกับการหายใจจนเกินไป เพราะการหายใจแบบโยคะจะไม่เหมือนกับการหายใจแบบปกติ และควรเริ่มจากการฝึกท่าง่ายๆ ที่สำคัญ ห้ามฝืนร่างกายตัวเองโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ เพราะหัวใจสำคัญของการฝึกโยคะคือ การทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายที่สุด
· อย่ามองแต่ผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น รูปร่างที่ดี ท่าที่สวยงาม การทรงตัวที่สมบูรณ์แบบเหมือนครูฝึก แต่ให้มองที่ความก้าวหน้าในแต่ละครั้ง จะได้ไม่รู้สึกกดดันตัวเองจนเกินไป
· ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคความดัน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน สุภาพสตรีมีครรภ์ และผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์หรือครูฝึกก่อนที่จะฝึกโยคะ เพราะบางท่าก็อาจเป็นอันตรายกับโรคบางชนิดได้ เช่น ผู้ที่มีปัญหาที่คอก็อาจไม่สามารถทำท่าที่ต้องบิดคอมากๆได้ ส่วนผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและหรือต่ำก็ไม่ควรทำท่าที่ต้องก้มศีรษะมากเกินไป
ไม่น่าเชื่อเลยใช่มั้ยครับว่าการฝึกโยคะจะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ ซึ่งถ้าสนใจก็สามารถเปิดวีดีโอในยูทูปดูแล้วลองทำตามก่อนก็ได้ ยังไม่ต้องไปเสียเงินเข้าคลาสที่ไหนให้สิ้นเปลือง และการออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ดีต่อสุขภาพและตัวเราเองทั้งนั้น ขอเพียงให้เราลงมือทำ
แล้วกลับมาพบกับพี่หมอได้ใหม่ในสัปดาห์หน้านะครับ นมัสเต 🙏🙏🙏